TFT Display คือ อะไร ?TFT คืออะไร จอภาพที่ทำด้วยเทคโนโลยี TFT (thin-film transistor) เป็น liquid crystal display (LCD) ตามปกติใน notebook และเครื่องคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว ที่มีทรานซิวเตอร์สำหรับแต่ละพิกเซล (นั่นคือ แต่ละหน่วยขนาดย่อยที่ควบคุมความสว่างของจอภาพ) การมีทรานซิสเตอร์สำหรับแต่ละพิกเซลหมายความว่ากระแสที่สับเปลี่ยนความสว่างพิกเซลสามารถเล็กกว่าและสามารถปิดหรือเปิดอย่างรวดเร็วมากขึ้น
TFT รู้จักในชื่อเทคโนโลยี active matrix display (และตรงข้ามกับ passive matrix ซึ่งไม่มีทรานซิสเตอร์แต่ละพิกเซล) TFT หรือ active matrix display ตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงมากกว่า ตัวอย่างเมื่อมีการเคลื่อนย้ายเมาส์ข้ามหน้าจอ หน้าจอ TFT เร็วเพียงพอในการสะท้อนการเคลื่อนย้ายของเมาส์ (passive matrix display เคอร์เซอร์จะหายไปชั่วคราวจนสามารถ “จับติด”) การพัฒนาใหม่กว่าคือ เทคโนโลยี organic thin-film transistor ซึ่งทำให้พื้นผิวหน้าจอยืดหยุ่นเป็นไปได้ ข้อมูลจาก : widebase.net LCD คืออะไร ?Liquid crystal display คืออะไร LCD (liquid crystal display) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้เป็นจอภาพใน notebook และคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก เหมือนกับ light-emitting diode (LED) และเทคโนโลยีก๊าซ – พลาสมา LCD ยอมให้จอภาพบางกว่าเทคโนโลยี cathode ray tube (CRT) จอภาพ LCD กินไฟน้อยกว่าจอภาพ LED และ ก๊าซ – พลาสมา เพราะสิ่งนี้ทำงานบนหลักการของแสงกลุ่มแทนที่การปล่อยออกมา LCD ทำได้ทั้งตารางแสดงแบบ passive matrix หรือแบบ active matrix display จอภาพ active matrix LCD ได้รับการเรียกว่าจอภาพ thin film transistor (TFT) จอภาพ passive matrix LCD เป็นตารางของตัวนำด้วยตำแหน่งพิกเซลที่แต่ละจุดตัดในตาราง กระแสไฟฟ้าได้รับการส่งข้าม 2 ตัวนำบนตารางควบคุมแสงตามพิกเซล ส่วน active matrix มีทรานซิสเตอร์ตั้งอยู่ที่แต่ละจุดตัดพิกเซล ต้องการกระแสไฟฟ้าน้อยกว่าในการความสว่างของพิกเซล สำหรับเหตุผลนี้ กระแสไฟฟ้าในจอภาพ active matrix สามารถสลับเป็นเปิดและปิดได้ถี่กว่า ปรับปรุงเวลา refresh จอภาพ (ตัวอย่าง เมาส์จะปรากฎในการเคลื่อนราบรื่นกว่าข้ามจอภาพ)
จอภาพ passive matrix LCD มีการสแกนคู่ หมายความว่ามีการสแกนตาราง 2 ครั้งด้วยกระแสไฟฟ้าในเวลาเดียวกันที่ใช้สำหรับการสแกน 1 ครั้งในเทคโนโลยีเริ่มแรก อย่างไรก็ตาม active matrix LCD ยังเป็นเทคโนโลยีเหนือกว่า ข้อมูลจาก : widebase.net |
Display คืออะไร ?Display คืออะไร Display (จอภาพ) ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเริ่มเป็นแบบสีเดียว เพื่อใช้กับงานประเภท Word Processor ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ในปี 1981 IBM แนะนำ Color Graphics Adapter (CGA) ซึ่งจอภาพชนิดนี้สามารถใช้ได้ 4 สี มีความละเอียดสูงสุด 320 pixel ในแนวนอน และ 200 Pixel ในแนวตั้ง แต่ไม่เหมาะสมกับการใช้งาน
ปี 1984 IBM แนะนำจอภาพแบบ Enhanced Graphics Adapter (EGA) ซึ่งสามารถใช้สีได้ 16 สี และเพิ่มความละเอียดเป็น 640 Pixel ในแนวนอนและ 350 pixel ในแนวตั้ง การปรับปรุงนี้ทำให้การอ่านตัวหนังสือดีกว่า CGA แต่ EGA ยังไม่เพียงพอกับงานประเภทการออกแบบด้านกราฟฟิกและสิ่งพิมพ์ ปี 1987 IBM แนะนำ ระบบจอภาพแบบ Video Graphics Array (VGA) จอภาพระบบนี้ได้รับการยอมรับเป็นมาตรฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ความละเอียดสูงสุด จำนวนสีที่ใช้ 16 สี ที่ 640 X 480 pixel หรือ 256 สีที่ขั้นต่ำ 320 X 200 pixel ปี 1990 IBM แนะนำจอภาพแบบ Extended Graphics Array (XGA) โดยเวอร์ชัน XGA-2 ที่ความละเอียด 800 X 600 pixel ใช้สี true color (16 ล้านสี) และ 1,024 X 768 pixel ที่ 65,536 สี จอภาพคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปัจจุบันได้ระบุถึงจอภาพแบบ Super Video Graphics Array (SVGA) SVGA มีความหมายว่าเหนือกว่า "VGA" ซึ่งมีมาตรฐานหลายมาตรฐาน ในช่วงที่ผ่านมา Video Electronics Standard Association ได้ตั้งมาตรฐานโปรแกรมอินเตอร์เฟซ สำหรับจอภาพ SVGA เรียกว่า VESA BIOS Extension ความปกติจอภาพแบบ SVGA สามารถสนับสนุนสีได้ 16 ล้านสี ถึงแม้ว่า Video Memory ของเครื่องคอมพิวเตอร์บางส่วนอาจจะจำกัดจำนวนสีในการแสดงออกมา ความละเอียดมีหลายระดับ ภาพขนาดใหญ่ (วัดตามด้านทแยงมุมของจอภาพ) จะมีความละเอียดมากกว่า เช่น จอภาพขนาด 14 นิ้ว สามารถกำหนดความละเอียดได้ 800 pixel ตามแนวนอน และ 600 pixel ตามแนวตั้ง จอภาพขนาด 20 นิ้ว สามารถกำหนดความละเอียดได้ 1,280 x 1,024 pixel บางครั้งจะได้ 1,600 X 1,200 pixelข้อมูลจาก http://www.com5dow.com |